การฟังเพลงในปัจจุบันเราคงเห็นว่า ช่องทางต่างๆมีให้เลือกเสพงานศิลป์กันได้มากมายทั้งแอปพลิเคชัน วิทยุ ทีวี งานคอนเสิร์ตที่จัดกันแทบทุกสัปดาห์ แต่ในธุรกิจเพลง กับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค 4.0 ที่มันออนไลน์กันหมด วิถีของธุรกิจวงการเพลงจะเปลี่ยนไปหรือไม่วันนี้มาดูกัน
เริ่มแรกขอพาย้อนอดีตรำลึกวันวานกันสักหน่อย แต่ก่อนเก่าเราฟังเพลงกันแผ่นเสียง ผ่านวิทยุคลื่นต่างๆ ถัดมาเป็นเทปคาสเซตสุดคลาสิค ยุคศิลปินล้านตลับ เริ่มเข้าสู่ยุคของอารยธรรมโซนี่ เครื่องเล่นเพลง(Walk man)ที่เคยฮิตสุดๆ เปลี่ยนผ่านเป็นไอพอดจากแอปเปิ้ล มาถึงการฟังเพลงผ่านมือถือ โหลด mp3 กันสนุกสนาน จนเข้าสู่ปัจจุบัน ยุคสมัยเปลี่ยนผ่านแต่งแต้มสีสันให้วงการดนตรีมาตลอด
แต่ยุคเหล่านี้ก็ต่างมีข้อจำกัด ปัญหาต่างๆของแต่ละยุค เมื่อก่อนอยากรู้ว่าเพลงไหนดัง ต้องรอฟังจากชาร์ต TOP10 วิทยุหรือฟังจากรายการทีวี ที่สัญญาณขาดๆหายๆบ้าง บางทีก็วิ่งเข้าตามร้านซีดีฟังเพลงใหม่ๆ จนมาสู่การออนไลน์ ปัญหาโหลดไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์ แผ่นผีซีดีเถื่อนต่างเป็นช่วงเวลาหนักอกที่ทำให้คนในวงการเพลง ผู้ผลิต นักฟังเพลงต้องประสบพบเจอ
ส่วนปัจจุบันที่ก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภคก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไป สู่การเพลงสตรีมมิ่ง ออนดีมานด์ คนฟังจะฟังที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ตามต้องการทั้ง Youtube , Joox , Spotify และอื่นๆอีกมากมายตามแต่ความชอบของบุคคล แล้วการเปลี่ยนแบบนี้มันสะดวกตอบโจทย์คนฟัง แต่จะตอบโจทย์รายได้ทางผู้ผลิตหรือฉุดให้วงการเพลงตกต่ำลงหรือไม่ เพราะเคยมีรายได้จากแผ่นซีดีก็หายไป(ลดน้อยลงเต็มที) ต้องปล่อยเพลงให้ฟังฟรีๆ จะอยู่ได้หรอ… คำตอบคือการฟังเพลงถูกลิขสิทธิ์นั้น ทำให้มีรายได้เข้าไปยังผู้ผลิต ศิลปิน ค่ายเพลง คนทำเพลง มากกว่าในอดีต ช่องทางนี้จึงเป็นช่องทางที่ลงตัว ต่างจากที่ผู้คนต่างโหลดเพลงฟรีมาฟัง เพราะตอนนี้ผู้รวบรวมคอนเทนต์ได้ค่าโฆษณา ศิลปินได้เผยแพร่งาน ประชาสัมพันธ์ต่างๆ ค่ายได้ค่าลิขสิทธิ์ เมื่อคนรู้จักก็มีการจ้างงาน อีเวนท์ รายการทีวี คอนเสิร์ต ทำให้มีรายได้กลับไปมากกว่าในอดีตเสียอีก(แต่ผู้เมื่อช่องทางมันเปิด ผู้เล่นศิลปินหน้าใหม่ก็ก้าวเข้ามาในตลาดได้ง่ายมากขึ้นเหมือนกัน)
พฤติกรรมของคนฟังปรับไปตามจริงหรือ ดูได้จากตัวเลขการฟังเพลงของคนไทย ผ่าน 3 ช่องทางหลัก 69% ฟังเพลงผ่านการเปิดซีดี และ MP3 , 77% ฟังเพลงผ่านวิทยุ ทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ และ 88% ฟังเพลงผ่านแอปพลิเคชัน – สมาร์ทโฟน เมื่อคอนเทนต์ถูกลิขสิทธิ์ ด้วยคุณภาพการฟังทีดีขึ้น และยังเป็นช่องทางฟรี มันก็เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ของคนฟัง จึงเกิดเป็นโมเดลธุรกิจกิจได้ Freemium Model คือ ฟรี + พรีเมียม เปิดให้ใช้งานฟรี แต่ถ้าอยากได้คอนเทนต์ทีดีขึ้นผู้ฟังก็ต้องยอมจ่ายเพิ่ม ซึ่งเป็นการ wnin – win ทั้งผู้บริโภคและธุรกิจ
แล้วทางผู้รวบรวมคอนเทนต์เขามองอย่างไร เรื่องนี้ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารของ Joox Music ก็ได้คำตอบว่า “คอนเทนต์ต้องอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ทุกค่ายเพลงมารวมกันได้ ให้ผู้บริโภคสะดวกที่สุด พฤติกรรมการฟังเพลงในปัจจุบันใช้โทรศัพท์ แทนที่วิทยุ หรือขึ้นรถไปจากต้องเปิดฟังวิทยุ สัญญาณขาดหาย เสียงไม่ชัด ก็เป็นการเปิดโทรศัพท์เชื่อมต่อบลูทูธ ส่วนวิทยุจะตายหรือไม่.. ยืนยันว่ายังไม่ตาย เพราะพฤติกรรมของคนเราไม่ได้ฟังในรูปแบบออนดีมานด์ผ่านแอปพลิเคชันอย่างเดียว แต่คนอยากจะฟังเป็นรายการก็ต้องกลับไปหาวิทยุ แต่ผู้ประกอบการต้องทำทั้งช่องทาง ออนไลน์และออฟไลน์ เช่นการมอบรางวัล คอนเสิร์ต อีเวนท์ต่างๆ ร่วมไปด้วย”
ช่องทางการฟังเพลงใหม่เข้ามานั้นไม่ได้ทำลายวงการเพลง แต่อยู่ที่การปรับตัวของศิลปิน เพราะศิลปินในปัจจุบันดังได้ในชั่วข้ามคืนมีมากมาย ช่องทางการหารายได้ก็มีให้เห็น แต่จะดังได้เป็นดาวประดับฟ้าไปตลอดอยู่ที่ตัวศิลปินเอง จะทำให้เป็นสากล World wild ขายได้ทั่วโลก หรือจะเข้าถึงใจคนได้เหมือนพี่เบิร์ด พี่ตูน ให้คนรักทั้งประเทศ
แค่ช่องทางที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ในยุค 4.0 นี้ โอกาสเปิดกว้างมาก ศิลปินไร้สังกัดก็ดังได้ชั่วข้ามคืนเวทีเปิดแล้ว ใครที่มีใจรักในท่วงทำนองแห่งดนตรี แปรเปลี่ยนให้ความชอบ Passion เป็นธุรกิจหาเงินได้ลงมือเลยครับ! ส่วนนักฟังเพลงจะทั่วไปหรือหูทิพย์ก็ช่วยกันฟังเพลงถูกลิขสิทธิ์นะครับ เป็นประโยชน์ทั้งคนฟังที่ได้คุณภาพและจะได้เป็นกำลังใจให้ผู้ผลิตผลงานดนตรีต่อไป
โดย… กมลธร โกมารทัต