“KTBST คาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (4-8 ธ.ค.) แรงขายจากต่างชาติยังเป็นปัจจัยสำคัญ ทิศทางตลาดยังคงมีแรงซื้อขายในลักษณะปรับฐาน ตลาดจับตาการประชุม Fed ครั้งสุดท้ายของปีนี้ ในทิศทางดอกเบี้ยในปีหน้า คาดว่าสัปดาห์นี้ดัชนีฯ แกว่งในกรอบ 1,680-1,720 จุด หุ้นแนะนำ TOP, SMPC, BEM , SENA , BR”
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST ประเมินทิศทางหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (4-8 ธ.ค.) ว่า SET Index ยังมีทิศทางของการพักฐานอยู่ เป็นผลจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมาจากการตอบรับข่าวบวกไปมากแล้ว กรอปกับมีวันหยุดระหว่างสัปดาห์รวมถึงสัปดาห์หน้ามีวันหยุดหลายวัน โดยจากการที่ตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ ทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนในลักษณะสลับตัวเล่นไปยังหุ้นที่มีข่าวเชิงบวกส่วนแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศยังคอยกดดันตลาดอยู่ แต่การเข้ามาซื้อขายหุ้น IPO ใหญ่ 2 ตัวคือ GULF และ THG อาจเป็นทั้งดึงเงินออกหรือกระจายเงินเข้ามาในตลาดได้ทั้งสองทาง
ทั้งนี้เนื่องด้วยเรายังมองตลาดอยู่ในช่วงของการปรับฐาน กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ยังเหมือนสัปดาห์ก่อน คือ แนะนำให้ขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก (เทียบกับราคาที่เหมาะสมของหุ้น โดยเลือกขายหุ้นที่มี upside เหลือน้อย) ส่วนการซื้อ ควรเลือกเป็นรายตัว เน้นเก็งกำไรช่วงสั้น เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ จะเข้าลงทุนในลักษณะ stock rotation คือหมุนวนหุ้นเล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด ในสัปดาห์นี้คาดว่าดัชนีฯ จะยังคงแกว่งในกรอบ 1,680-1,720 จุด หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ TOP, SMPC, BEM , SENA , BR
สำหรับปัจจัยที่สำคัญในสัปดาห์นี้ที่ต้องติดตามคือ เรื่องนโยบายภาษีของทรัมป์ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีทรัมป์ (คะแนน 51:49) ประเด็นดังกล่าวได้สร้างผลบวกต่อตลาดหุ้นในภาพรวม เนื่องจากประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ตลาดติดตามมานาน และมีนักลงทุนบางส่วนคาดว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ขณะเดียวกัน การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯครั้งสุดท้ายของปี จะเกิดขึ้นในวันที่ 12-13 ธ.ค. แต่คาดว่าประเด็นดังกล่าวจะเริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยตลาดคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 1-1.25% เป็น 1.25-1.5% (โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยรวบรวมโดย Bloomberg อยู่ที่ระดับ 98.3%) จึงต้องติดตามการส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งปัจจุบันคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอยู่ที่ 2-3 ครั้ง
ด้าน KTBST มองว่าราคาน้ำมันดิบเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อโดยมีแรงหนุนจากที่ประชุมของกลุ่ม OPEC และรัสเซีย ในวันที่ 30 พ.ย. มีมติให้ขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิต
ส่วนปัจจัยในประเทศ ธปท. คาดการณ์การส่งออกในปี 2017 มีแนวโน้มจะเติบโต 2 หลัก ซึ่งสูงกว่าที่ประมาณการไว้ที่ 8% ขณะเดียวกันคาดว่าภายในเดือนนี้จะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชันเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 123,000 ล้านบาท รวมถึงปัจจัยบวกจากแรงซื้อหุ้น LTF-RMF ช่วงท้ายของปี โดยปกติแล้วช่วงท้ายของปีจะมีเม็ดเงินจาก LTF-RMF ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นมากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ รวมถึงการทา window dressing ในช่วงเดือนธันวาคม