ดัชนีหุ้นไทยเปิดวันแรกปี 61 พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แตะ 1,778 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 2.7 พันล้าน ดันบาทแข็งค่าสุด รอบกว่า 3 ปี

ภาพรวมตลาดหุ้นไทย วานนี้(3 ม.ค.) ซึ่งเป็น วันทำการแรกของปี 2561 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ โดยปิดตลาดที่ 1,778.53 จุด เป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิด การซื้อขายเมื่อปี 2518 ดัชนีปรับเพิ่มขึ้น 24.82 จุด หรือ 1.42% มูลค่าการซื้อขายรวม 88,076.86ล้านบาท รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 2.69 พันล้านบาท ขณะที่เงินบาทไทยปิดตลาดที่ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำสถิติแข็งสุดรอบ 3 ปี
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ขอแนะนำให้ผู้ลงทุนพิจารณาลงทุนในบริษัท ที่มีผลประกอบการที่ดีและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต พร้อมศึกษาข้อมูลของ บริษัท ทั้งในและต่างประเทศที่เป็นปัจจัย ที่ส่งผลต่อลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง
ชี้ผลจาก”แจนยัวรี่ เอฟเฟคท์”
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ซึ่งเป็นวันทำการแรกของปีปรับตัวขึ้นมา แรง จึงเชื่อว่าดัชนีมีโอกาสขึ้นไปแตะ 1,800 จุด เร็วกว่าที่ประเมินไว้คาดว่าเป็นผลมาจากสัญาญาณตลาดหุ้นไทยปลายปีปรับตัวขึ้นมาตามแรงซื้อของสถาบัน
ตามสถิติช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทุกต้นปีตลาดหุ้นไทยเจอแรงกดดัน จากการขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) แต่ในปีนี้นักลงทุนที่ถือมาตั้งแต่ 2556 ซึ่งสามารถไถ่ถอนได้กลับมีการซื้อเพิ่ม บวกกับกระแสเงินลงทุนต่างชาติ ที่กระจายเงินมายังภูมิภาคเอเชีย และตลาดหุ้นไทย หลังเห็นภาพเศรษฐกิจฟื้นตัว ดังนั้นช่วงเดือนนี้จึงมีโอกาสเห็นต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยทดแทนการขายหุ้นทำกำไรช่วงปลายปี (January Effect)
เมื่อดูจากทิศทางตลาดหุ้นไทยแล้วยังคาดการณ์เป้าหมายปีนี้ที่ 1,848 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 14.5 % ดังนั้น นักลงทุนจึงยังไม่ต้องวิตกเรื่องตลาดหุ้นปรับฐานในช่วงนี้ และควรดูการลงทุนในระยะยาว กลุ่มที่อิงกับการลงทุนในประเทศ และการบริโภค ที่จะโดดเด่นในปีนี้ เช่น กลุ่มก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ธนาคาร
บาทแข็งสุดรอบ3ปี
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทปิดตลาดวานนี้ ที่ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าขึ้น จากช่วงค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 32.40บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าเงินบาทพลิกกลับ มาแข็งค่าสุดในรอบ3ปีกว่า จากปัจจัยต่างชาติ เทขายดอลลาร์ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงขณะที่สกุลเงินเอเชียทั้งหมดกลับมาแข็งค่า เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้น ซื้อสุทธิ 27,000 ล้านบาทและตลาดพันธบัตรซื้อสุทธิ 4,000 ล้านบาท
ตลาดเงินในสัปดาห์นี้คาดว่าจะยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจโลกร้อนแรง และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า สกุลเงินเอเชียต่างๆจะแข็งค่าขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงหลักยังคงเป็นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐที่ต้องจับตาการออกมาให้ความเห็น ของคณะกรรมการนโยบายการเงินใน ช่วงหลายสัปดาห์ว่ามีแนวโน้มจะขึ้น ดอกเบี้ยเร็วขึ้นหรือไม่
ซึ่งยังต้องจับตาในวันศุกร์ ตลาดแรงงานสหรัฐจะยังขยายตัวดีต่อเนื่อง มองว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non farm payrolls) จะเพิ่มขึ้น 180,000 คน ส่งผลให้การว่างานจะอยู่ในระดับ 4.1% ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อเดือนจะเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หรือคิดเป็น 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ภาพรวมตลาดแรงงานในสหรัฐช่วงนี้ค่อนข้างดี เพราะแรงหนุนเรื่องการจ้างงานใหม่หลังจากเหตุพายุ และแรงงานคนหนุ่มสาวที่ถูกว่าจ้างมากขึ้น
จับตาเงินแอลทีเอฟจ่อขาย
บล.ทิสโก้ ระบุว่า หุ้นไทยอาจผันผวนช่วงครึ่งเดือนแรกจากกองทุนแอลทีเอฟครบอายุ 5 ปีจ้องขาย แต่มองเป็นจังหวะสะสม ปีนี้น่าจะขึ้นทำสถิติใหม่ ขณะที่ในปี 2561 เชื่อว่าจะมี 3 สิ่งใหม่เกิดขึ้น คือ 1.วงจรการ ลงทุนรอบใหม่ 2.การเลือกตั้งครั้งใหม่ และ 3.หุ้นไทยขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวข้อง ซึ่งกันและกัน
เกาะติดปัจจัยต่างประเทศ
ปัจจัยเสี่ยงแม้เรามองภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี2561 มีแนวโน้มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่กว่าจุดสูงสุดเดิมที่ทำไว้ที่ 1,789 จุดเมื่อ ต้นปี 2537 แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ในช่วงครึ่งปีแรกที่อาจก่อให้เกิดความผันผวนได้ คือ 1.สัญญาณการฟื้นตัวของเงินเฟ้อที่เร็วกว่าคาด ซึ่งจะมีผลต่อการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและการถอน คิวอีในอนาคต
2.การเปลี่ยนแปลงสมาชิกในคณะกรรมการเฟด และการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายในทางที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งเราแนะนำ ให้ติดตามเส้นทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ในเดือนมี.ค. ว่าจะเปลี่ยนแปลงจากเดือน ธ.ค. หรือไม่จากที่ เฟดมองว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี2561 และ 3.ความเสี่ยงทางการเมืองในยุโรป แนะนำให้ติดตามการเลือกตั้งในอิตาลี ซึ่งคาดว่า จะเป็นช่วงเดือน มี.ค.
หุ้นใหญ่ดันดัชนีพุ่งไตรมาสแรก
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ คาดหุ้นใหญ่ยังคงผลักดันตลาด ซึ่งมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้น ในช่วงไตรมาส 1 สนับสนุนจากทั้งปัจจัยในประเทศและ ปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ ในช่วง 2สัปดาห์ที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อการบริโภคในประเทศ จากหลายมาตรการภาครัฐที่เร่งแก้ไขปัญหากลุ่มคนกำลังซื้อต่ำ ผ่านทางกระทรวงเกษตรช่วยดูแลราคาสินค้าเกษตรหลักของประเทศ, กระตุ้น การบริโภคเมืองรอง และช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อจีดีพีมากกว่า 55% และเป็นช่วงที่หลายเครื่องยนต์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลับมาเดินเครื่อง พร้อมๆ กัน และสามารถคาดหวังการเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี2560 ได้จากฐานที่ต่ำ
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเริ่มกลับมาน่ากังวล จากทั้งฝั่งการเมืองในยุโรป (สเปน, เยอรมัน และอิตาลี) และปัญหาคาบสมุทรเกาหลี ภายหลังสหประชาชาติและสหรัฐ ลงความเห็นเพิ่มระดับการตัดความ สัมพันธ์และหยุดการส่งน้ำมันให้เกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกทางอ้อมต่อการลงทุนในเอเชียใต้ จากปัจจัยที่ได้กล่าวมา ทำให้ คาดว่า ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับขึ้นทดสอบระดับสูงสุดที่บริเวณ 1,789 จุดในช่วงไตรมาส 1
หุ้นเอเชียพรับขึ้นถ้วนหน้า นอกจากตลาดหลักทรัพย์ไทยจะปรับขึ้นร้อนแรงในวานนี้แล้ว ตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคต่างปรับขึ้นในทิศทางเดียวกัน โดยดัชนีหั่งเส็ง ตลาดฮ่องกง ปิดที่ 30,571.26 เพิ่มขึ้น55.95 จุด หรือ 0.18% ปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน แรงหนุนจาก การพุ่งขึ้นของหุ้นตัวใหญ่ อย่าง เทนเซนต์ และหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
เช่นเดียวกับดัชนีดัชนี คอมโพสิตเกาหลีใต้ ปิดที่ 2,486.35 บวก 6.70 จุดหรือ 0.27% แรงหนุนจากเงินวอนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ทั้งตลาดยังคลายความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดใน คาบสมุทรเกาหลี จากการที่ เกาหลีเหนือ ยอมเปิดสายด่วนข้ามแดนกับเกาหลีใต้ อีกครั้ง

Related Posts

Scroll to Top