คุณวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ ไทย กล่าวว่า เงินสกุลดิจิทัล และ บิทคอยน์ ไม่ใช่เงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่เป็นสกุลเงินดิจอทัลสำหรับการลงทุนคล้ายกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ และน้ำมัน ดังนั้น ประชาชนที่จะลงทุนต้องระมัดระวังให้ดี เพราะถือว่ามีความเสี่ยงสูง ราคามีความผันผวนอย่างมากและธนาคารกลางทั่วโลกยังไม่มีการรับรองว่าเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้
นอกจากนี้ ยังพบว่าความเสี่ยงระบบศูนย์กลางซื้อขายสกุลเงินบิทคอย ถูกแฮกหรือปิดกิจการไป ทำให้ผู้ลงทุนสูญเสียได้ ปละที่น่ากังวลใีปราชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าใจในเรื่องนี้และถูกชักชวนฝห้ไหลงทุนเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ โดยอ้างว่าเป็นการลงทุนในตราสารการเงินใหม่ๆที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน หมายเลข 1213
นายวิรไท กล่าวด้วยว่า เรื่องของการกำกับดูแลเงินสกุลดิจิทัล จะต้องมีการประสานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. โดยต้องกำกับดูแล 2 ส่วน คือ 1 ต้องคุ้มครองผู้บริโภค 2.ต้องป้องกันไม่ให้ใช้สกุลเงินดิจิทัล เป็นช่องทางในการฟอกเงินที่ผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามของธปท.ยังไม่พบว่าสกุลเงินดิจิทัลมีการใช้อย่างแพร่หลายจนน่ากังวลในประเทศไทย เพราะธุรกรรมไม่ได้มากจนกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
“ยอมรับว่าบางประเทศมีการทดลองใช้สกุลเงินดิจิทัล แต่เพื่อเป็นนวัตกรรมการลงทุนในรูแบบใหม่ๆ แต่ไม่ใช่เป็นเงินที่้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เพราะยังมีความผันผวนสูงไม่สามารถกำหนดราคาคงที่ได้”
ส่วนแนวคิดของกระทรวงการคลังที่ส่งเสริมให้สถาบันการเงินมีการควบรวมกิจการเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง นายวิรไท มองว่า การควบรวมกิจการก็ช่วยทำให้ธนาคารพาณิชย์มีขนาดที่ใหญ่ มีความเข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กลยุทธ์ของแต่ละธนาคารว่าจะมีนโยบายในการควบรวมอย่างไร ซึ่งถ้าหากมีการควบรบมก็จะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้แบงก์ไทยใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาค จะทำให้แบงก์ไทยมีความสามารถในการปล่อยสินเชื่อให้กับเอกชนขนาดใหญ่เพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ