อียูฟื้นสัมพันธ์ไทยดัน GDP โต 5 % ใน 5 ปี ตอกย้ำพื้นฐานเศรษฐกิจแกร่ง เป็นศูนย์กลางภูมิภาค

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ คณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป มีมติในการกลับสู่การติดต่อทางการเมืองทุกระดับกับประเทศไทยว่า ถือเป็นมิติเชิงบวก เป็นการแสดงให้เห็นว่ายุโรปให้การยอมรับไทยอย่างชัดเจน ทั้งมิติในเชิงการเมือง และมิติเชิงเศรษฐกิจหลังจากที่รัฐบาลไทยมี Road Maps ทางการเมืองที่ชัดเจน มีระยะเวลาในการเลือกตั้งตามที่ประกาศไว้

ทั้งนี้ท่าทีของสหภาพยุโรปที่เป็นบวกกับไทย ยังเป็นท่าทีตามหลังสหรัฐที่ได้มีการผูกสัมพันธ์กับไทยภายหลังการพบกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีของไทย ก่อนหน้านี้ ซึ่งในมิติทางเศรษฐกิจถือเป็นประโยชน์อย่างมาก และเป็นการแสดงให้เห็นว่ายุโรปมองไทย เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง เป็นศูนย์กลางภาคการผลิต และการกระจายสินค้าในภูมิภาคอาเซียน ที่สำคัญ

ซึ่งอียูเองก็คงไม่อยากที่จะดำเนินการล่าช้า ไปถึงช่วงของการเลือกตั้งในปี 2562 เพราะหากไม่รีบเข้ามาสานความสัมพันธ์จะทำให้กระบวนการทางการทูต ช้ากว่า จีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่สหรัฐ ที่เข้ามาดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้เชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น จะทำให้เป็นผลดีต่อภาคการส่งออก จากกรอบการเจรจาเอฟทีเอ การค้าเสรีต่างๆ โดยเชื่อมั่นว่าการฟื้นสัมพันธ์กับอียู จะช่วยดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่พื้นที่อีอีซีได้เพิ่มขึ้นเป็นพื้นฐานที่ช่วยผลักดันจีดีพีของไทยให้เติบโตได้ 4.5% ในปี 2561 และจะเป็นรากฐานที่สำคัญทำให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้แตะหลัก 5% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

Related Posts

Scroll to Top