นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่า จะมีจำนวนผู้มีสิทธิ์รับสวัสดิการรัฐราว 5.3 ล้านราย จากประมาณ 11.4 ล้านราย ยื่นแสดงความจำนงขอเข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นการดำเนินการเฟสที่สอง ของมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนรับสวัสดิการแห่งรัฐ
“เราคาดว่า ในจำนวนผู้ลงทะเบียนรับสวัสดิการรัฐจำนวนกว่า 11 ล้านคนนี้ จะมีจำนวนราว 5.3 ล้านราย ซึ่งเป็น กลุ่มที่อยู่วัยแรงงานจะเข้ามาแจ้ง เข้าร่วมโครงการพัฒนาอาชีพเพิ่มเติม ส่วนที่เหลือ จะเป็นกลุ่มที่สูงอายุและกลุ่มที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้
ทั้งนี้ คาดว่า จะรองรับการฝึกอบรมและฝึกอาชีพได้ราว 4 ล้านราย ส่วนที่เหลือ 1 ล้านรายจะมีนิติบุคคลเข้ามาช่วยรองรับการจ้างงานจากนิติบุคคล โดยรัฐจะให้แรงจูงใจการลดหย่อนภาษี 1.5 เท่าของค่าจ้าง
นับตั้งแต่วันที่ 1-28 ก.พ.นี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับจังหวัดและระดับอำเภอได้เตรียมพร้อมที่จะรับการแจ้งความจำนงเข้าโครงการของผู้มีสิทธิ์แล้ว โดยผู้มีสิทธิ์สามารถเข้าไปแจ้งความจำนง ณ จุดที่เคยลงทะเบียนก่อนหน้านี้ “เอกสารที่จะได้รับภายหลังการแจ้งความประสงค์ เมื่อผู้มีบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐได้กรอกข้อมูลลงในแบบแสดงความจำนงแล้ว จะได้รับเอกสารที่เป็นหางตั๋ว 1 แผ่นเล็ก โดยขอให้เก็บเอกสารนี้ ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน” เมื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแจ้งความประสงค์เข้าร่วมพัฒนาอาชีพแล้วนั้น ในเดือนมี.ค. รัฐจะใส่เติมเงินเพิ่มเข้าไปในบัตรสวัสดิการจำนวน 100 บาทหรือ 200 บาท ตามฐานรายได้ของแต่ละคน จากนั้น ก็เข้าสู่กระบวนการฝึกอาชีพตามที่ได้แจ้งความจำนง ส่วนผู้ที่ไม่มาแจ้งความจำนง ก็จะไม่ได้รับเงินเพิ่มดังกล่าว ยกเว้น กลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มได้รับการยกเว้นเข้ารับพัฒนาอาชีพ
อย่างไรก็ดี หากผู้มีบัตรสวัสดิการรัฐที่แจ้งความจำนงเข้าฝึกอบรมแล้วไม่ยอมมาฝึกอบรมตามที่นัดหมาย จะต้องคืนเงินเพิ่มให้กับรัฐ โดยรัฐจะตัดเงินสวัสดิการในเดือนถัดไปทันที และ บันทึกลงรายงานว่า บุคคลนั้นๆไม่ยอมเข้ามาพัฒนาอาชีพ จากนั้น รัฐจะนำมาประเมินเกี่ยวกับสวัสดิการที่จะให้ในระยะต่อไป