นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความเชื่อมั่นในงานสัมมนา โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หัวข้อ EEC ไม่มีไม่ได้ ว่า พรบ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ พ.ร.บ. EEC ที่กำลังอยู่ในวาระการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. จะเสร็จสิ้นภายใน 1-2 วันนี้ ซึ่งจะเป็นตัวจุดชนวนสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนตัดสินใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC มากขึ้น โดยในการประชุมครม.สัญจรที่จะเกิดขึ้น ที่จันทบุรี และตราด ก็จะพิจารณาการพัฒนาภาคการเกษตร และท่องเที่ยว ในพื้นที่ EEC ด้วย ส่วนกรณีที่รัฐบาลอาจต้องมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกเป็นปีหน้า ขณะนี้ยังไม่ได้มีนักลงทุนจากประเทศใดสอบถามมาเข้ามา ทั้งนี้เชื่อว่านักลงทุนจะมีความมั่นใจต่อไทย หากประเทศมีความสงบ รัฐบาลมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี ซึ่งจากสถานการณ์แบบนี้ยังเชื่อว่าหุ้นจะยิ่งปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้การที่ประเทศชั้นนำทั่วโลก เป็นช่วงขาขึ้น ทำให้ IMF มีการปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจโลก ไปถึง 3.9 % ซึ่งเป็นข่าวดีของไทยในปีนี้ ที่เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นแน่นอน ทั้งตัวเลขการส่งออกน่าจะดีกว่าปีก่อน ที่อยู่ 9.9 % การลงทุนต่างประเทศก็น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน ที่ 6 แสนล้านบาท การท่องเที่ยวดีขึ้นต่อเนื่อง และภาครัฐกำลังต่อยอดแก้ปัญหาความยากจน การเร่งการใช้จ่าย และลงทุนในรัฐวิสาหกิจ จึงไม่มีปัจจัยใดที่ทำให้ไทยชะลอตัวปีนี้ จึงเป็นโอกาสของไทย เพราะทั่วโลกมองเห็นอาเซียนเป็นยุทธศาสตร์ที่น่าลงทุน และไทยยังคงน่าลงทุนมากที่สุดในอาเซียน ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งปรับตัวรับการเกิดขึ้นของ อีอีซี เช่น ในภาคยานยนต์ เดิมเราอาจเป็นฐานการผลิตรถยนต์ของโลก แต่จากการมุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ก็จะต้องปรับไปพัฒนาการผลิต พัฒนาระบบไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ไม่ใช่มุ่งประกอบรถยนต์เหมือนเดิม เพราะไทยมีศักยภาพทำได้ ในภาคการเกษตรต้องปรับมาผลิตเกษตรสมัยใหม่ แปรรูป อาหารเชิงสุขภาพ อาหารเหมาะเฉพาะกลุ่ม นักกีฬา ผู้สูงวัย ผู้รักสุขภาพ ผ่านไบโออีโคโนมี ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เป็นที่ต้องการของตลาด การทำบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ ที่ในตอนนี้อุตสาหกรรมรายใหญ่นำร่องไปหลายรายแล้ว ซึ่ง EEC จะเป็นฐานการผลิตใหญ่ของประเทศที่พร้อมขยายไปยังภาคอื่นของไทย และสร้างความเจริญไปในอีกทศวรรษข้างหน้า