ดร.เชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขายบิทคอยถือว่าเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้ว เพราะมีการเก็งกำไรจนราคาของบิทคอยสูงขึ้นมาก แต่กลับไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ และยังไม่สามารถประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนจะต้องระมัดระวังอย่างมาก เนื่องจากการซื้อขายบิทคอยไม่เหมือนกับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น หรือ ตราสารหนี้ ที่สามารถประเมินมูลค่าและประโยชน์ต่อเศรษฐกิจได้ ขณะเดียวกับธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงไทย ก็ยังไม่มีรับรองว่าสกุลเงินที่ซื้อขายในบิทคอสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ดังนั้น ผู้ลงทุนจะต้องศึกษาให้ดีก่อนว่า การนำเงินไปลงทุนในสกุลเงินลักษณะนี้ ทำไปเพื่ออะไร และมีประโยชน์อย่างไรกับเศรษฐกิจ และมีกฎหมายใดมารองรับหากมีปัญหาจากการนำเงินไปเก็งกำไรในลักษณะนี้
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เชื่อว่าขนาดของสินทรัพย์ในบิทคอยยังไม่สูงเมื่อเทียบกับขนาดสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้น ดังนั้น เมื่อเกิดฟองสบู่ก็จะไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก แต่จะเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของผู้ลงทุนเอง
ซึ่งเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ที่จะต้องดูแลและเตือนผู้ลงทุนเพิ่มขึ้น ส่วนจะห้ามไม่ให้นักลงทุนไทยลงทุนในบิทคอยน่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นรูปแบบของต่างประเทศ ซึ่งการให้ความรู้และการเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงจะเป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด