พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดี ดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอได้อายัดกระเป๋าเงิน (วอลเล็ท) บิทคอยน์ 2-3บัญชีแล้ว แต่มูลค่า การลงทุนยังไม่มากประมาณไม่เกินหลักล้านบาท หลังจากได้สอบสวน พบว่า ผู้เสียหายแต่ละราย ถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงให้โอนเงินมาลงทุน ซื้อขายบิทคอยน์ และยังอยู่ระหว่างการ ตรวจสอบว่า จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ฟอกเงินด้วยหรือไม่
“กระบวนการสืบสวนนั้น เราตามรอย ได้ง่าย เพราะบิทคอยน์ยังไม่นิยมแพร่หลายนัก มีเพียงคนกลุ่มเล็กๆ ลงทุนเท่านั้น รวมถึงใน ทางเทคนิคถ้ามีการโอนเงินเข้ามาสามารถ ตรวจสอบติดตามจากกระเป๋าบิทคอยน์ ซึ่งเป็นองค์กรในไทยและต่างประเทศ เราสามารถเข้าไปประสานและพูดคุยกันได้”
เตือนมิจฉาชีพใช้บิทคอยน์หลอกลวง
สำหรับความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆในการป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกลงทุนบิทคอยน์ พ.ต.ต.สุริยากล่าวด้วยว่า ที่ผ่านทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องได้นำประสบการณ์มาแบ่งปันกัน และได้หารือร่วมกับกระทรวงการคลังมาตลอด ซึ่งจริงๆแล้วมองว่า ตัวบิทคอยน์ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแต่แก๊งมิจฉาชีพนำบิทคอยน์มาใช้ในกระบวนการหลอกลวง
ขณะเดียวกันยังหารือเรื่องกฎหมาย ที่พบว่า ยังมีช่องว่างตรงที่เงินดิจิทัลยังไม่มีกฎหมายทางการเงินรับรอง แต่ถูกนำมาหลอกหลวงว่าสามารถใช้ชำระหนี้ ได้ตามกฎหมาย
ส่วนกรณีใช้บิทคอยน์เป็นช่องทางการลงทุน ตอนนี้ทุกหน่วยงานเริ่มให้ความรู้และความเสี่ยงกับนักลงทุน เพราะมองว่า การถือบิทคอยน์ไว้ลงทุน คงห้ามไม่ได้ ในอนาคตอาจเป็นสกุลเงินที่ใช้ได้จริง แต่ผู้ลงทุนต้องใช้วิจารณญาณในการลงทุน
ทางด้านสถานีโทรทัศน์แชนแนล นิวส์เอเชีย รายงานผลสำรวจร้านค้าปลีกดั้งเดิม 8 ร้านในสิงคโปร์ ที่เคยรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ พบว่า มีอยู่ 6 ร้านที่ยกเลิกการชำระเงินด้วยเงินดิจิทัลไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นการรับชำระเงินแบบมีเงื่อนไข โดยร้านแรกรับบิทคอยน์เฉพาะเวลาที่ลูกค้า ซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของทางร้านเท่านั้น ส่วนอีกร้านหนึ่ง รับเงินดิจิทัลต่อเมื่อเจ้าของร้านอยู่ที่ร้านเท่านั้น
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ร้านค้า ดังกล่าวเลิกรับเงินบิทคอยน์คือลูกค้าใช้ กันน้อย และฝ่ายผู้ค้าก็เจอกับความยากลำบาก ในการแลกบิทคอยน์กลับมาเป็นเงินสดนอกเหนือจากปัญหาในเรื่องกระบวนการทำธุรกรรมด้วย