กีฬาเป็นช่วงเวลาดีๆของครอบครัว พากันไปชมที่สนาม บางคนไปดูไปเชียร์กับผองเพื่อนเพื่อความสนุกสนาน กีฬาสร้างความสามัคคี ความแข็งแรงของร่างกาย แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป “กีฬา” จะมาพร้อมกับเม็ดเงินอันมหาศาล ด้วยสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง การถ่ายทอดสด ค่าบัตรเข้าชม การขายของที่ระลึก เสื้อผ้า ร้านอาหาร การเดินทาง สร้างรายได้ให้ผู้คน จนบางประเทศมีนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยกีฬา
หันมามองวงการลูกหนังไทยกันบ้าง บ้านเรามีฟุตบอลอาชีพมาเป็นเวลา 9 ปี สโมสรทุกทีมๆจะต้องดำเนินการในรูปแบบนิติบุคคล เพื่อให้เป็นธุรกิจแบบเต็มตัว ต้องมีรายได้มาหล่อเลี้ยงตัวเองได้ พูดง่ายๆคือมีสปอนเซอร์มาสนับสนุน ซึ่งมีการคาดการณ์มูลค่าการรับรู้ที่สปอนเซอร์จะได้รับจากการสนับสนุนสโมสรในไทยลีกบ้านเราอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท มาจากการที่โลโก้สโมสรบนเสื้อ ป้ายข้างสนาม ไปปรากฏอยู่ในสื่อต่างๆ ไฮไลท์ที่รีเพลย์ซ้ำแล้วซ้ำอีก(พร้อมกับติดโลโก้ผู้สนับสนุน) รวมถึงเสื้อที่แฟนบอลจะซื้อไปสวมใส่ เป็นการลงทุนที่ได้แบบระยะยาว เพราะการแข่งขันกันยาวถึง 9 เดือน รวมไปถึงมีผู้ชมเข้ามาดูในสนามทุกสัปดาห์ ทีมใหญ่ๆอย่างบุรีรัมย์ เมืองทอง หนึ่งปีมีคนดูเฉลี่ย 3 ล้านคน ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับผู้สนับสนุน
ด้านสโมสรที่จะทำธุรกิจฟุตบอลจะหาเงินมาจากไหนกันบ้าง 1.จากเจ้าของสโมสร 2.จากผู้สนับสนุน และ 3.ทุกสโมสรจะได้จากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในไทยลีกทีมละ 20 ล้านบาท แต่ไม่เพียงพอต่อการทำทีมแน่นอน เพราะปัจจุบันในไทยลีกไม่มีทีมไหนใช้เงินน้อยกว่าปีละ 100 ล้านบาทในการทำทีม ถึงรวมเงินรางวัลของแชมป์ที่ 10 ล้านบาทก็ตาม ซึ่งสโมสรก็ต้องหาทางทำเงินอื่นๆ เช่น ค่าบัตรผ่านประตู ของที่ระลึก เสื้อแข่งขัน(บุรีรัมย์สามารถขายเสื้อหมด 250,000 ตัวภายใน 2 เดือน)
เงินสนับสนุน 20 ล้านบาท ได้เกือบ 20 ทีม เงินนี้สมาคมได้มาจากไหน.. คำตอบคือค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ไทยลีก1,2 อยู่ที่ 4,200 ล้านบาท สำหรับ 4 ปี ยิ่งความนิยมมากค่าลิขสิทธิ์ยิ่งมาก
ในอนาคตฟุตบอลไทยลีกบ้านเราก็จะมีการต่อยอดขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดในอาเซียน เหมือนที่เราไปซื้อลิขสิทธิ์ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เพื่อดู แมนยู เชลซี ลิเวอร์พูล อาร์เซนอล เลสเตอร์ และอื่นๆ แล้วทำไมเขาถึงต้องซื้อไทยลีกไปดู… ก็เพราะเรามีโควต้าอาเซียน การคว้านักเตะดังๆ อ่อว ธู กองหน้าดีกรีทีมชาติของเมียนมา มาร่วมโปลิศเทโร , ซุลฟะห์มี อารีฟิน กองกลางทีมชาติสิงคโปร์ กับค่ายฉลามชล ชลบุรีเอฟซี เป็นต้น
เมื่อฟุตบอลมันเป็นธุรกิจเต็มตัว ค่าตัวของนักเตะไทยก็ย่อมมีการปรับขึ้นไปด้วยตามกลไก เราจะเห็นข่าวการทุ่มเงินซื้อตัวกันเป็นหลักแสน หลักล้าน และหลักสิบล้าน ที่น่าแปลกใจคือปัจจุบันไม่ใช่อยู่ที่เงินไม่พอ แต่กลับมีนักเตะเก่งๆถูกปั้นขึ้นมาไม่พอกับความต้องการของสโมสร หากดูค่าตัวของนักเตะไทยสูงสุดพุ่งไปแตะที่ 50 ล้านบาท ของ ธนบูรณ์ เกศารัตน์ เป็นค่าซื้อตัวนักเตะจากเมืองทอง ยูไนเต็ด ไปอยู่กับเชียงราย ยูไนเต็ด *ไม่รวมกับเงินเดือนที่นักเตะได้รับ หรือกรณีของ ธีราธร แบ็กซ้ายตัวเก่งของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ย้ายไปอยู่กับคู่ปรับอย่าง กิเลนผยอง เมืองทอง ยูไนเต็ด ด้วยราคา 30 ล้านบาท
ส่วนใครที่มองว่าเป็นนักกีฬาคงไม่มั่งคั่ง ไม่ร่ำรวย ไส้แห้ง เราคงต้องคิดใหม่เพราะถ้าเป็นนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีในปัจจุบัน ก็จะมีการทุ่มเงินแย่งตัวนักเตะกัน โดยแหล่งข่าววงในบอกมาว่า นักเตะอายุ 20 ต้นๆรับเดือนละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท ซึ่งถ้าขยับไปเป็นซุปเปอร์สตาร์มีชื่อเสียงรายได้ต่อเดือนสูงสุดของนักเตะไทยในระดับทีมชาติตอนนี้อยู่ที่ หนึ่งล้านกว่าบาท/เดือน ไม่รวมโบนัสและรายได้เสริมต่างๆ
เรายังไม่ได้พูดถึงการสร้างสนามอันใหญ่โต อุปกรณ์กีฬา โค้ช ผู้ฝึกสอน อาคาเดมี่อีกมากมาย เรียกได้ว่าสร้างเนื้อสร้างตัวร่ำรวยได้ทั้งในและนอกสนามสำหรับวงการกีฬา สร้างคน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ รวมถึงช่วงเวลาครอบครัว ถ้ามีเวลาลองอุ้มลูก จูงหลาน พาพ่อแม่ไปชมกีฬาติดขอบสนามอาจจะเป็นช่วงเวลาๆดีของครอบครัวอีกทางก็ได้นะครับ
กมลธร โกมารทัต.